ผศ.น.สพ.สมชาติ ธนะ กับเบื้องลึกเกษตรกรโคขุนและเกษตรอินทรีย์พะเยา

1151 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ผศ.น.สพ.สมชาติ ธนะ กับเบื้องลึกเกษตรกรโคขุนและเกษตรอินทรีย์พะเยา

ผศ.น.สพ.สมชาติ ธนะ เป็นอาจารย์ประจำคณะเกษตรศาสตร์และทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยพะเยา เป็นนักวิจัยที่ได้รับรางวัลนักวิจัยดีเด่นด้านการวิจัยที่สร้างประโยชน์ให้ชุมชน ทำงานศึกษาวิจัยและมีส่วนพัฒนาการผลิตเนื้อโคขุนดอกคำใต้ จังหวัดพะเยา สามารถลดต้นทุนการผลิตและพัฒนาคุณภาพของเนื้อโคขุนให้มีคุณภาพดีกว่าเนื้อโคต่างประเทศ ปัจจุบัน กำลังผลักดันเรื่องเกษตรอินทรีย์โดยริเริ่มจากงานวิจัยสู่การพัฒนาสินค้า เกษตรอินทรีย์อันมีใบรับรองคุณภาพมาตรฐานอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม เพื่อให้ได้ผลผลิตทางการเกษตรที่มีคุณภาพวางจำหน่ายให้กับกลุ่มผู้บริโภคคน พะเยา สินค้าผักสลัดหกชนิด สินค้าข้าวอินทรีย์ ข้าวฮางงอกอินทรีย์ และลิ้นจี่อำเภอแม่ใจ อันเป็นสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่มีตรารับรอง กำลังจะวางจำหน่ายตามพื้นที่ขายสินค้าของจังหวัดพะเยา


เริ่มต้นจากการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย

พ.ศ.2552 ผมเริ่มทำงานเป็นอาจารย์สอน สาขาวิชาสัตวศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์และทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยพะเยา จำได้ตอนนั้นโครงสร้างฟาร์มปศุสัตว์สำหรับการสอนนิสิตสัตวศาสตร์ไม่มีอะไรสักอย่างเลย ต้องทำเรื่องขอพื้นที่สร้างโรงเรือน หาไก่ แพะ โค เพื่อให้นักศึกษาฝึกเรียนในภาคปฏิบัติ พอทำงานส่วนนั้นเสร็จก็เริ่มทำงานวิจัย ทำงานบริหารวิชาการ จากการศึกษาข้อมูลของจังหวัดพะเยาเราพบว่า พะเยาเป็นเมืองเล็กเหมาะสำหรับการเลี้ยงโคมาก ครอบครัวของผมก็มีอาชีพเกษตรกร ทำนา เลี้ยงโค ก็คิดว่าน่าจะมีการผลักดันการเลี้ยงโค เมื่อค้นข้อมูลพบว่า อำเภอดอกคำใต้ จังหวัดพะเยา มีศักยภาพ มีเกษตรกรเลี้ยงโคขุนลูกผสมพันธุ์ชาร์โรเล่ส์จำหน่ายให้กับสหกรณ์โคขุนโพนยางคำ จังหวัดสกลนคร

ช่วงนั้นเป็นช่วงหมอกควัน มีการเผาป่าและวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรซึ่งก่อให้เกิดมลพิษ จังหวัดพะเยาก็เป็นจังหวัดที่มีการทำการเกษตรเป็นหลัก และมีผลผลิตส่วนเหลือจากการทำการเกษตร เช่นฟางข้าว เปลือกข้าวโพด เพื่อลดการเผาจึงได้นำมาทดลองหมักกับเชื้อจุลินทรีย์ที่เกษตรกรหาได้ง่ายในพื้นที่ คือหมักข้าวแป้งหรือแป้งเหล้าบ้านเรา พยายามหาวัตถุดิบที่ชาวบ้านหาได้ หลังจากนั้นทดลองผสมกับกากน้ำตาล ผสมรำข้าว ผลวิเคราะห์พบว่ามีโปรตีนในอาหารสัตว์มากขึ้น สมัยก่อนต้นทุนอาหารโคขุนค่อนข้างแพงเฉลี่ยวันละ 90 บาทต่อตัว อาหารหลักคือกากเบียร์ซึ่งต้องสั่งจากจังหวัดราชบุรี สระบุรี เพื่อเลียนแบบการเลี้ยง วัวแบบญี่ปุ่น ทาจิมะ (Tajima)  สายพันธุ์วากิล (Wagyu) เมื่อเราหมักอาหารด้วยแป้งเหล้า โคก็จะกินอาหารที่มีระดับแอลกอฮอล์เล็กน้อยทำให้ผ่อนคลาย กินอาหารได้เยอะ พักผ่อนมาก ทำให้โคขุนโตไวและได้เนื้อคุณภาพมีไขมันแทรกเยอะ เราสามารถลดต้นทุนอาหารเลี้ยงสัตว์จากวันละ 90 บาทเหลือเพียง 50 บาทต่อวัน

พฤติกรรมการรับประทานเนื้อโคแบ่งออกเป็นสองประเภท ประเภทแรกคือ “เนื้ออุ่น” คือเนื้อโคปกติที่รับประทานบ้านเรา เช่น เมนูลาบ เมนูแกง ส่วนเนื้ออีกประเภทคือ “เนื้อเย็น” หลังเข้าโรงเชือดต้องเอาเข้าห้องเย็นอีก 10-14 วัน เพื่อบ่มเนื้อ ทำให้เนื้อมีจุลินทรีย์ช่วยย่อยทำให้เนื้อนุ่ม มันเป็นวัฒนธรรมการรับประทานในประเทศแถบยุโรปและญี่ปุ่น เนื้อโคขุนจึงราคาแพงมากกว่าเนื้อทั่วไปเพราะกระบวนการผลิต เนื้อโคสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ว่า พ่อแม่พันธุ์คือตัวไหน ผสมพันธุ์เมื่อใด เลี้ยงอย่างไร

ศักยภาพเนื้อโคขุนพะเยากับต่างประเทศ

เนื้อโคขุนดอกคำใต้ จังหวัดพะเยามีศักยภาพมาก สามารถผลิตเนื้อไขมันแทรกได้ถึงเกรด 5 อันเป็นเกรดสูงสุดในเนื้อโคขุนพันธุ์ทาจิมะสายพันธุ์วากิว เปรียบเทียบกับสิบปีก่อนเราผลิตเนื้อโคขุนคุณภาพเฉลี่ยเกรด 2 ตอนนี้ผลิตเนื้อโคขุนเฉลี่ยเกรด 3  3.5 ถึง 4 สมัยก่อนมีปัญหาต้นทุนการผลิตเรื่องโรงเชือด ต้องส่งโคขุนไปเชือดที่จังหวัดสกลนคร โคขุนเมื่อถูกขนส่งเดินทางน้ำหนักก็ลดลงตัวละ 60-70 กิโลกรัม เมื่อเข้าโรงเชือดเราได้แต่เนื้อ ส่วน เครื่องใน หัว เท้า หาง หนัง โรงเชือดเก็บไว้เพื่อคิดเป็นค่าบริหารจัดการโรงเชือดซึ่งในส่วนนี้จำหน่ายได้ในราคาประมาณ 8,000 – 10,000 บาทต่อตัว เราจึงผลักดันให้มีการของบประมาณกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอบบน 2 ผ่านสำนักงานปศุสัตว์พะเยา เพื่อสร้างโรงเชือดที่อำเภอดอกคำใต้สามารถลดต้นทุนการบริหารจัดการได้อีก  ทำให้เม็ดเงินส่วนหนึ่งยังอยู่ที่พะเยาอีกทางหนึ่ง

บ้านเรามีทัศนคติที่ผิดคิดว่าเนื้อโคจากต่างประเทศมีคุณภาพดีกว่าประเทศไทย เนื้อโคต่างประเทศเขาเลี้ยงปล่อยตามทุ่งหญ้า แต่บ้านเราโคขุนในคอก การเลี้ยงดูโคขุนมีความประณีตละเอียดอ่อนกว่า คุณภาพเนื้อโคต่างประเทศสู้ประเทศไทยไม่ได้ หลายคนสั่งเนื้อโคจากต่างประเทศมาทำลูกชิ้นก็มี แต่ถ้าเป็นเนื้อโคเกรดพรีเมี่ยมจากต่างประเทศตามภัตตาคารก็เป็นเนื้อพรีเมี่ยมอีกเกรด ปัจจุบันต่างเทศประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี ส่งคนเข้ามาศึกษาดูงานเลี้ยงโคขุนเพื่อเป็นฐานการผลิต ส่วนจังหวัดพะเยาก็ส่งโคมีชีวิตไปขายต่างประเทศจำนวนมาก ประเทศจีนเฉลี่ยเดือนละ 1,000 ตัว มาเลเซียเดือนละ 600-700 ตัว

ทิศทางการพัฒนาโคขุนพะเยา คือการสร้างเครือข่ายเกษตรกรผู้ผลิต เชื่อมกับการตลาดโคเนื้อแปรรูปและโคมีชีวิต มีการจัดกระบวนการและแบ่งปันส่วนแบ่งกำไรอย่างเหมาะสม ตลาดน่าจะเติบโตได้อีกแต่เราต้องมีการแปรรูปสินค้า เรามีโคสายพันธุ์ดี มีโรงเชือดที่มีคุณภาพ มีเนื้อคุณภาพดี พะเยาน่าจะมีสินค้าอันเป็นอัตลักษณ์ เป็นสินค้าของฝากหรือเป็นร้านอาหารเมนูสเต็ก โคขุนมีเนื้อหลายส่วนหลายราคา เนื้อบางส่วนที่มีคุณภาพดีแต่ราคาไม่แพง  

ปรับเปลี่ยนสู่การส่งเสริมเกษตรอินทรีย์

พ.ศ. 2562 ผมได้โครงการวิจัยและบริการวิชาการ ซึ่งจากการได้พูดคุยกับห้างเลมอนฟาร์ม พบว่าความต้องการสินค้าเกษตรอินทรีย์มีแนวโน้มสูงขึ้น และต้องพัฒนาลิ้นจี่กลุ่มอนุรักษ์ผลิตลิ้นจี่คุณภาพห้วยป่ากล้วย อ.แม่ใจ ให้มีคุณภาพสู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ และตนเองก็อยากจะพัฒนาปศุสัตว์อินทรีย์ ไข่ไก่อินทรีย์เพื่อส่งจำหน่ายห้างเลมอนฟาร์ม จึงได้ศึกษามาตรฐานเกษตรอินทรีย์ในตอนนั้นพบว่ามาตรฐานที่รับรองเกษตรอินทรีย์มีหลายค่าย เช่น ออร์แกนิคไทยแลนด์ โดย กรมวิชาการเกษตร กรมการข้าว หรือ PGS ของพัฒนาที่ดิน เขาเป็นส่วนราชการที่มีข้อจำกัดเรื่องเวลา งบประมาณ และเกษตรกรชาวบ้านเข้าถึงมาตรฐานยาก แต่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม SDGsPGS มีกลไกลสมาพันธ์เกษตรกรรมยั่งยืนมีชาวบ้านหรือเกษตรกรเป็นจุดศูนย์กลางเป็นผู้เริ่มต้น โดยใช้พื้นที่เป็นที่ตั้ง และสมาพันธุ์ถูกตั้งขึ้นในแต่ละจังหวัด มีการอบรมพัฒนาผู้ตรวจแปลง มีการใช้เทคโนโลยี มีการสลับกันตรวจแปลงอินทรีย์ซึ่งทำให้ประหยัดงบประมาณ ตอนนี้ผมรับเป็นประธานสมาพันธ์เกษตรกรรมยั่งยืนจังหวัดพะเยา การดำเนินงานในปีแรกมีงบประมาณการจัดอบรมจากงบบริการวิชาการที่ตนเองได้รับ แต่เมื่องบประมาณหมดลงก็เลยเชิญส่วนงานอื่นเข้ามาร่วมสนับสนุน

ข้อจำกัดของการออกใบรับรองโดยส่วนราชการคือต้องอยู่ในรอบงบประมาณ ไม่มีความยืดหยุ่น เกษตรกรเห็นว่าพวกเรามีเวลาก็เลยขับเคลื่อนกันเอง สร้างมาตรฐานในการยอมรับร่วมกัน ตอนนี้หลายคนได้รับใบรับรอง สามารถตรวจสอบการปลูกพืชอินทรีย์ สินค้าหลายตัวเมื่อมีใบรับรองก็มียอดขายเพิ่มขึ้น ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น มีช่องทางการตลาดได้กว้างขึ้น พวกเราเริ่มต้นจากศูนย์สร้างเป็นเครือข่าย สร้างระบบการตรวจสอบแปลง ระบบการตรวจสอบข้อมูลย้อนกลับ สร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคได้ว่าสินค้าปลอดภัย ส่วนมหาวิทยาลัยก็สนับสนุนเครื่องมือการตรวจวิเคราะห์สารตกค้าง ด้านการตลาดขณะนี้สมาพันธ์กำลังสร้างจุดจำหน่ายสินค้าบริเวณข้างโรงพยาบาลพะเยา เราไม่มีงบประมาณแต่มีการเชื่อมโยงเพื่อขอสนับสนุน ตอนนี้ผมได้รับงบประมาณการงานวิจัยด้านชุมชนนวัตกรรม เรื่องการพัฒนาเครือข่ายเกษตรกรรมยั่งยืนจังหวัดพะเยาสู่การสร้างชุมชนนวัตกรรม เพื่อให้ตัวเกษตรกรที่เป็นนักวิจัยร่วม สร้างเขาเป็นนวัตกรชุมชน หรือนักวิจัยชาวบ้าน ซึ่งจะเป็นองค์ความรู้ที่เขาได้เรียนรู้ ได้พัฒนาขึ้นมา ซึ่งเกี่ยวกับการแก้ปัญหาการผลิตในแปลงไม่ว่าจะเป็นการจัดการแมลงศัตรูพืช การลดต้นทุน การเพิ่มมูลค่าผลผลิต แล้วให้พวกเขาได้ถ่ายทอดให้กับบุคคลที่สนใจ เกษตรกรกลุ่มอื่นๆต่อไป

สินค้าเกษตรอินทรีย์ที่กำลังเติบโตมี กลุ่มผักสลัดหกชนิด กลุ่มข้าวที่ได้รับรองแปลงใหญ่ ลิ้นจี่แม่ใจที่เชื่อมตลาดห้างเลมอนฟาร์มมา 3 ปี เป็นลิ้นจี่พรีเมี่ยมสามารถขายได้ราคาสูงกว่าท้องตลาดหลายเท่าตัว อนาคตสินค้าเกษตรอินทรีย์เติบโตแน่นอน เพราะกลุ่มผู้บริโภคมีการศึกษามากขึ้น มีรายได้มากขึ้น เลือกซื้อสินค้าที่ดีปลอดภัยต่อสุขภาพ แต่เกษตรกรต้องมีความซื่อสัตย์ในการทำเกษตรอินทรีย์ ทำกินในครัวเรือน ผลิตเองในแปลง เหลือก็แจกแล้วค่อยขาย หากเราใช้ยาฆ่าแมลง ใช้สารเคมีแล้วบอกไม่ใช้ ความซื่อสัตย์มันไม่มีตั้งแต่แรก การทำงานเราพยายามรบกวนชาวบ้านให้น้อยที่สุดเพราะคนทำการเกษตรส่วนใหญ่ไม่ ใช่คนร่ำรวย ตอนแรกคิดจะเก็บใบรับรองใบละ 300 บาท เพื่อนำมาจัดอบรม การตรวจแปลงอินทรีย์ แต่เมื่อมีหลายหน่วยงานไม่ว่าจะเป็น ธกส. ห้างท็อป พะเยา ช่วยเรื่องอาหารกลางวัน อาหารว่าง ในการอบรบ ก็ไม่มีค่าใช้จ่ายอันใดในการขอใบรับรอง

Credit : ร.ต.อ.ทรงวุฒิ  จันธิมา (กระจอกชัย) 
แหล่งอ้างอิง : https://phayaobiz.com/people/%E0%B8%9C%E0%B8%A8-%E0%B8%99-%E0%B8%AA%E0%B8%9E-%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4-%E0%B8%98%E0%B8%99%E0%B8%B0-%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B7%E0%B9%89/?fbclid=IwAR1kzxOuhJVW9jMlzUqjX_wFTrGsawKtX0IYPdPKgex5xo01g7bfSD26U3U


เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  คุกกี้